วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ไม่มีคนล้มเหลว...มีแต่คนที่ล้มเลิกต่างหาก

ความล้มเหลว   คือส่วนหนึ่ง   ของ ความสำเร็จ
"ไม่มีความสำเร็จใดที่ไม่ผ่านความล้มเหลวมาก่อน
                       คนที่กลัวความล้มเหลว จะไม่พบความสำเร็จตลอดชีวิต"


ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคน นั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะ แห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า
ไม่ชอบสังคมและ ล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา"

ชายคนนั้น...ชื่อ "อัล เบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู

ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ 
ชายคนนั้น... ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายาม เป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้ เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ สองได้สำเร็จ
ชายคนนั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์"
ผู้พิชิตแปซิ ฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง


ชายกลุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผู้บริหารคน หนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ต้ง
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ ว่า
"เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา
และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลัง จะหมดสมัยแล้ว"

ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่ง ตำนาน

ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียน มัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน

 ชายคนนั้น...ชื่อ "ไม เคิล จอร์แดน"
หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก


ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน 
ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถ ในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคน นั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคน นั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก


ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6
ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมา ตลอด
ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุ แล้ว
ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคน นั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษา ระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนใน วิชาเคมี

ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์"




ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง
ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอ เพรย์ไล่ออก
ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลย
แกควร กลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า"

ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์"

หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น...ทำงานให้ กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า
"เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ ก็แต่งงานเสียดีกว่า"

หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์
หรือที่รู้จัก กันในนาม "มาริลีนมอนโร" นั่นเอง

ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับ มหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อ มา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจ โคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์ รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคน นั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์"
นักลงทุนอัจฉริยะอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของ โลก

ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับ คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้า คอมพิวเตอร์"
ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี
ชายคนนั้น...ปัจจุบัน คือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...เคย ถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก

 ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่ สาม
หรือที่รู้จักกันในนาม ...
"บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์

มหาเศรษฐี อันดับหนึ่งของโลก  ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ

เชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ ...
            เชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว...
                           แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ ล้มเหลว...

                        เพราะ   "คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก"

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ทะเลาะ...

ทะเลาะ… 

ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า  เมื่อคนเราอยู่ใกล้ๆ กัน  สนิทกันจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นฐานะอะไรก็ตาม  พ่อ แม่ ลูก แฟน เพื่อน ฯลฯ
มันจะต้องมีความเห็นไม่ลงรอยกันบ้าง  เป็นบางเวลา
และบางครั้งความเห็น  หรือทัศนคติที่ไม่ตรงกัน
ก็ทำให้เกิดการทะเลาะกันขึ้นมา
ดังนั้นในความรู้สึกผม  การทะเลาะกัน  เป็นเรื่องปกติมากๆ
คนที่บอกว่าสนิทกันมากแล้ว แต่ยังไม่เคยทะเลาะกัน
ผมว่า…
เขาสองคนยังไม่รู้จักกันทุกด้าน เพราะเวลาทะเลาะกัน
เราจะเห็นด้านที่ดีน้อยหน่อย (ก็คือร้ายนั่นแหละ) ของอีกคน
เมื่อทะเลาะกันเสร็จแล้ว  เราก็จะรู้จักกันมากขึ้น
แต่…
ความสำคัญของการทะเลาะกัน ไม่ได้อยู่ที่เวลาทะเลาะกัน
สำหรับผม
มันอยู่ที่หลังทะเลาะกันมากกว่า  เราสองคนสามารถทำให้การทะเลาะกันครั้งนั้น
เป็นสิ่งที่ทำให้เราสองคนรู้จักกันมากขึ้น
“และไม่บั่นทอนความรู้สึกดีๆ ของทั้งคู่”  ได้หรือไม่
สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ตรงนั้น
ถ้าเราสามารถทำให้การทะเลาะกันนั้น  “เป็นโมฆะทางความรู้สึก”
คือไม่มีผลอะไรกับความรู้สึกของเราทั้งคู่
ความรู้สึกดีๆ ของเราทั้งคู่ก็ยังคงเดิม  แต่…
“ไม่เป็นโมฆะทางความเข้าใจ”
คือทั้งสองคนกลับได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นมา
การทะเลาะกันครั้งนั้นก็คุ้มแล้วที่เกิดขึ้น
ผมพูดอย่างนี้ ผมไม่ได้ชอบการทะเลาะหรอกครับ
แต่อยากให้ทุกๆ คนมองการทะเลาะเสียใหม่
เมื่อไรก็ตามที่คุณทะเลาะกับคนที่สำคัญของคุณ

จงจำไว้ว่า
1. ถ้าแคร์เขา และกลัวเสียเขาไป  อย่าปากหนักที่จะเอ่ยคำว่าขอโทษ

2. แม้เขาจะเป็นฝ่ายขอโทษเราก่อน  เราก็ควรขอโทษเขาเช่นกัน
อย่างน้อยเราก็พูดไม่ดีกับเขาด้วย


3. หลังการทะเลาะ ลองคิดดูหน่อย ว่าความรู้สึกของคุณทั้งคู่ แย่ลงหรือเปล่า
ถ้าแย่ลง หาวิธีการง้อต่อไป ถึงแม้ว่า เรื่องที่ทะเลาะนั้นจบแล้วก็ตาม


4. การลงท้ายตอนหลังด้วยการแสดงออกถึง  ความแคร์และความรักกับคนๆ นั้นก็สำคัญ
ทำให้เขารู้เถอะว่า…เรารักเขาแค่ไหน


5. ถ้าคุณทั้งสองคนทะเลาะกัน
อย่าทิ้งเอาไว้นานข้ามคืน หรือข้ามวัน คุณไม่รู้ว่า หลังจากนั้นคุณจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า จริงไหม?


ถ้าต้องจากกันด้วยความรู้สึกแย่ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
                                           คนที่จะเสียใจไปตลอดชีวิต ก็คือคุณเอง

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน กับตัน โออิชิ

ผู้เรียบเรียง : สรกล อดุลยานนท์ ,วทัญญู รณชิตพานิชนกิจ
สำนัก พิมพ์ : มติชน  จำนวนหน้า : 206  ราคา : 155 บาท
คงไม่มีใครไม่รู้จัก  " ตัน โออิิชิ "
"คุณตัน" กล้าคิดและกล้าทำในสิ่งที่แตกต่างเติบใหญ่   ด้วยกลยุทธ์การตลาดนอกตำรา MBA
เขาคือผู้ริเริ่มธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน  ภัตตาคารบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น "โออิชิ"
เข้าถึงทุกบ้านด้วย "โออิชิ กรีนที"

"อานันท์ ปันยารชุน" อดีตนายกรัฐมนตรี  เคยบอกว่า"คนเก่งไม่ใช่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด
แต่คนเก่งคือคนที่พลาดแล้วแก้ปัญหาได้เร็ว" "ตัน ภาสกรนที"

คือ "คนเก่ง" ในนิยามนี้เพราะเขาเชื่อมั่นว่า
               ทุกปัญหาล้วนมีทางออกชีวิตของ "ตัน โออิชิ"   จึงไม่เคยมี "ทางตัน"


ตัน ภาสกรนที หรือที่บรรดาสื่อมวลชนจะถนัดเขียนถึงเขาว่า ตัน โออิชิ

เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน เริ่มต้นสร้างทุกอย่างจากจุดที่เรียกว่า...ศูนย์
ถึงแม้เส้นทางเดินบนถนนสายธุรกิจของเขาในวันนี้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ระดับที่เรียกว่าเป็นตำนาน

หากแต่ว่าเขาเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานขายของ แบกของ กินเงินเดือนไม่ถึงพันบาท   สู่การบริหารงานธุรกิจระดับพันล้านในเครือโออิชิกรุ๊ป
ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน, โออิชิ, โออิชิ กรีนที, ฯลฯ
โดยกลยุทธ์ทางธุรกิจของเขา
ไม่ได้มีปริญญาด้านการตลาดจากสถาบันใดมาการันตี
แต่เขาเป็นนักธุรกิจที่เป็นทั้งนักคิด นักถาม นักวางแผน นักการตลาด
ที่ประสบความสำเร็จในถนนสายธุรกิจได้อย่างไม่เป็นรองใคร

จากพนักงานกินเงินเดือนไม่กี่ร้อย จนมีอาณาจักรภายใต้แบรนด์โออิชิ สู่ความเป็นมหาชน

ตัน ภาสกรนที บอกว่า...จุดเริ่มต้นของเขา คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้













ขอบคุณรูปภาพจาก http://women.sanook.com/work/worklife/life_11136.php

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

คุณบริหารเวลาอย่างไร?

พระพุทธเจ้าเคยอบรมสั่งสอนมนุษย์ไว้ว่าทรัพย์สินที่พึงได้จากการประกอบกิจการงานต่าง ๆ นั้น
ควรแบ่งออกเป็น 4 กองเท่าๆ กัน
กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน
กองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ
กองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว
กองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม

แล้วการทำงานของมนุษย์ล่ะหลายคนยังมัววุ่นแก่การทำงานโดยไม่ ยอมแบ่งเวลาเหลียวหลังมองถึงบุคคลที่รักและห่วงใยตนเองเลยหรือ???


มนุษย์บางคนทุ่มเวลาทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน พร้อมกับคิดว่าการกระทำดังนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วแต่นั่นคือการกระทำที่โง่เขลาเป็น ที่สุดทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับ งานโดยไม่ยอมแบ่งปันเวลาให้แก่ผู้ใดแม้กระทั่งตัวเองเป็นมนุษย์ที่เขลา เบาปัญญาที่สุด บริหารไม่ได้แม้กระทั่งเวลา24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะบริหารอะไรได้

ทำไมมนุษย์ผู้ชาญฉลาดจึงไม่แบ่งปันเวลาให้เสมือนหนึ่งการแบ่งปันกองเงินตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบ้างเล่า ...ไม่ต้องแบ่งเวลาให้เป็นสี่กองเท่า ๆ กันหรอกเพียงแต่แบ่งปันเวลาในแต่ละส่วนให้ เหมาะสมเท่านั้น

8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิต

8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อสู้กับหน้าที่ การงานและอุปสรรคในวันพรุ่งนี้

5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่าง ๆ

2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง

59 นาที สำหรับดูแลและรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย และช่วยเหลือสังคมและ

1 นาทีของคุณที่มอบให้กับคนที่รักและห่วงใยคุณ โดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเพียง 1 นาทีนี้ มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น

จงอย่ากล่าวว่า ' ไม่มีเวลา... 'เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ในโลกนี้ที่มีให้แก่มนุษย์มนุษย์ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน


ไม่มีใครมีเวลามากและไม่มีใครมีเวลาน้อยไปกว่านี้24 ชั่วโมงใน 1 วัน ที่มหาเศรษฐี หรือยาจกมีเท่าเทียมกันไม่ขาดเกินแม้แต่เศษ เสี้ยวของวินาที


ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใดที่กล่าวว่า ' ไม่มีเวลา 'จึงเป็นผู้ล้มเหลวในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า ' ไม่มีเวลา 'เป็นข้อแก้ตัวเพื่อปกปิด ความล้มเหลวเรื่องเวลาของตนเองอย่างขลาดเขลามนุษย์


ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิตจึงไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงาน อย่างเดียวแต่มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จ ในชีวิตต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัดส่วน เวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ได้อย่างลงตัววันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ที่มีไว้สำหรับการทำงาน การพักผ่อน การเดินทางมิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯ โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต


นี่แหละ คือมนุษย์ผู้ชาญฉลาดที่รู้จัก ' ใช้เวลา 'แล้ววันนี้..คุณจะยังอ้างเหตุผลว่า' ไม่มีเวลา ' อีกหรือ? จงเปลี่ยนความคิดของคุณตั้งแต่บัดนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=different&month=07-2009&date=08&group=2&gblog=51